วันพุธที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

วิธีแก้ปัญหาทางสังคม



วิธีแก้ปัญหาทางสังคม


เนื้อหารายวิชา

http://mild-itwork.blogspot.com/2015/12/13_13.html


วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

ภาระจำยอม

ภาระจำยอม



       ภาระจำยอม เป็นทรัพยสิทธิ ประเภทหนึ่ง ที่ตัดทอนกรรมสิทธิ์ ในอสังหาริมทรัพย์ของบุคคลอื่น อันทำให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์นั้น ต้องยอมรับภาระบางอย่างซึ่งกระทบกระเทือนอำนาจกรรมสิทธิ์ เพื่อประโยชน์แก่อสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ ในทางกฏหมายแล้ว อสังหาริมทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากภาระจำยอมเรียกว่า " สามยทรัพย์ " ส่วนอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในบังคับภาระจำยอมเรียกว่า " ภารยทรัพย์ " ตัวอย่างภาระจำยอมเช่น ยอมให้มีทางเดิน หรือ ทางน้ำ ยอมให้ชายคา หรือ หน้าต่างบุคคลอื่น ล้ำเข้ามาในที่ดินของตน ยอมที่จะไม่ปลูกสร้างอาคาร ปิดบังแสงสว่าง ทางลม แก่ที่ดินข้างเคียง

สิทธิ และ หน้าที่ของ เจ้าของภารยทรัพย์มีดังนี้คือ


1. ต้องไม่ประกอบการใด ๆ เป็นเหตุให้ประโยชน์แห่งภาระจำยอมนั้นลดลงไป
2. เจ้าของสามยทรัพย์ ไม่มีสิทธิเปลี่ยนแปลงใน ภารยทรัพย์ หรือ ในสามยทรัพย์ อันเป็นการเพิ่มภาระแก่ ภารยทรัพย์
3. เจ้าของสามยทรัพย์ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อรักษาและ ใช้ภาระจำยอม และ ต้องให้ภารยทรัพย์เสียหายน้อยที่สุด
4. ถ้าความต้องการของเจ้าของสามยทรัพย์เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงนั้นย่อมไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่เจ้าของสามยทรัพย์ ที่จะทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้น แก่ภารยทรัพย์
5. เจ้าของภารยทรัพย์อาจจะขอย้ายไปส่วนอื่น ก็ได้ แต่การย้ายนั้น ต้องไม่ ทำให้ความสะดวกแห่งสามยทรัพย์ลดน้อยลงไป
6. ถ้ามีการแบ่งภารยทรัพย์ ภาระจำยอมก็คงมีอยู่ทุกส่วน ที่แยกออกไป แต่ถ้าส่วนใดไม่ใช้ หรือ ใช้ไม่ได้ เจ้าของส่วนอาจเรียกหรือ ขอให้พ้นจากภาระจำยอมได้
7. เมื่อสามยทรัพย์ได้จำหน่ายออกไปภาระจำยอมย่อมติดไปด้วย เว้นแต่จะมีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น
ภาระจำยอมเป็นบทบัญญัติที่ไม่มีการจำกัดระยะเวลา เหมือนทรัพยสิทธิประเภทอื่น ดังนั้นการทำนิติกรรมที่ ก่อให้เกิดภาระจำยอมต้องกำหนดเงื่อนไงไว้ให้ชัดเจน เช่น ความกว้างความยาว การให้ยานพาหะนผ่านได้หรือไม่ หรือ การกำหนดว่าให้หมดภาระจำยอม เมื่อมีการโอน สามยทรัพย์ให้บุคคลอื่น

ภาระจำยอม อาจเกิดโดยนิติกรรม และ โอยอายุความภาระจำยอมโดยนิติกรรม จะทำได้โดยการตกลงกัน ระหว่างเจ้าของที่ดินแปลงที่จะจดเป็นภาระจำยอม และ แปลงที่จะได้ประโยชน์จากภาระจำยอม โดยต้องจดทะเบียน ต่อเจ้าหน้าที่ ส่วนภาระจำยอมที่เกิดจากอายุความ เกิดโดยทื่ดินแปลง หนึ่งได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินอีกแปลงหนึ่ง โดยสงบ เปิดเผย และ มีเจตนาเป็นเจ้าของสิทธินั้น ติดต่อกันเป็นระยะเวลาเกิน 10 ปี จนได้ภาระจำยอมโดยอายุความ

การสิ้นไปแห่งภาระจำยอม

1. ถ้า ภาระทรัพย์ หรือ สามยทรัพย์ สลายไปทั้งหมดเท่ากับภาระจำยอมจะสิ้นไปโดยอัตโนมัติ
2. เมื่อภาระทรัพย์ หรือ สามยทรัพย์ ตกเป็นเจ้าของคนเดียวกัน เจ้าของสามารถขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนภาระจำยอมได้
3. ภาระจำยอมไม่ได้ใช้ 10 ปี ติดต่อกัน ภาระจำยอม ย่อมหมดสิ้นไป
4. ภาระจำยอมหมด ประโยชน์ แก่สามยทรัพย์
5. เมื่อภาระจำยอมนั้น ยังประโยชน์ ให้แก่ สามยทรัพย์นั้น น้อยมาก เจ้าของภารยทรัพย์ขอให้พ้นจากภาระจำยอมทั้งหมด หรือ แต่บางส่วนก็ได้ แต่ต้องใช้ค่าทดแทน

การครอบครองปรปักษ์

การครอบครองปรปักษ์


      การครอบครองปรปักษ์ หมายถึงการ เสียสิทธิในทรัพย์สินของตนโดยการถูกผู้อื่น แย่งการครอบครองหรือ ในทางกฏหมายเรียกว่าอายุความได้สิทธิ เป็นการที่บุคคลอื่นจะได้สิทธิ์ หรือ กรรมสิทธิในทรัพย์สินของเราโดยการครอบครอง ทั้งนี้ตามกฏหมายแพ่งและ พาณิชย์ระบุไว้ว่าบุคคลใด ครอบครองทรัพย์สินของบุคคลอื่นไว้โดยสงบ และโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของถ้าเป็นอสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ได้ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 5 ปี ถือว่าบุคคลนั้นได้กรรมสิทธิ์


หลักเกณฑ์แห่งการครอบครองปรปักษ์


1. ครอบครอง หมายถึงกิริยาเข้ายึดถือทรัพย์สิน เช่นเข้าทำประโยชน์ปลูกพืช เลี้ยงสัตย์ในเรือกสวน ไร่ นา ถือว่าได้ครอบครองเรือกสวน ไร่ นา นั้นแล้วเป็นต้น
2. ทรัพย์สินของผู้อื่น หมายถึงทรัพย์สินที่เข้าของมีกรรมสิทธิ์อยู่ และ ในกรณีที่ดินจะต้องเป็นที่ดินมีโฉนด หรือ ตราจองเท่านั้น
3. โดยสงบ คือการครอบครองโดยปราศจากการช่มขู่ การใช้กำลัง การหลอกลวง และ ไม่มีใครหวงห้ามกีดกัน แสดงความเป็นเจ้าของ หรือ ฟ้องร้องขับไล่ได้
4. โดยเปิดเผย คือการครอบครองโดยไม่ได้หลบซ่อนเร้น ปิดบัง หรือ อำพรางใด ๆ
5. ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ คือการครอบครองโดยเจตนาตั้งใจที่จะเป็นเจ้าของทรัพย์ สินนั้น มิใช่ครอบครองแทนผู้อื่น
6. ครอบครองติดต่อกันเป็นเวลา 10 ปี ความหมายของอสังหาริมทรัพย์โดยทั่วไป หมายถึงที่ดิน รวมถึงทรัพย์สินที่ติดกับที่ดิน เช่น ตึกรามบ้านช่อง อาคารวัตถุถาวร
หมายเหตุ การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนที่ดิน ซึ่งถูกแย่งการครอบครอง ต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับจากถูกแย่งการครอบครอง มิใช้นับจาก ที่เจ้าของที่ดินทราบเรื่อง

การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน

การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดิน


      การได้มาซึ่งที่ดินหรือการทำนิติกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ คือ ที่ดินหรืออาคารบ้านเรือนจะต้องทำการจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จึงจะสมบูรณ์และชอบด้วยกฎหมาย

๑. ถ้าเป็นที่ดินที่มีโฉนดที่ดินอย่างเดียวหรือรวมกับสิ่งปลูกสร้างด้วย
จะต้องไปติดต่อขอจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดินในท้องที่ที่ดินแปลงนั้นตั้งอยู่ ซึ่งอาจเป็นที่สำนักงานที่ดินจังหวัด หรือสำนักงานที่ดิน สาขาแล้วแต่กรณี

๒. ถ้าเป็นที่ดินที่มี น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก อย่างเดียวหรือรวม กับสิ่งปลูกสร้างด้วยจะต้องไปติดต่อขอจดทะเบียนต่อนายอำเภอณที่ว่าการอำเภอท้องที่ที่ที่ดินแปลงนั้นตั้งอยู่ หรือปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอแล้วแต่กรณี หรืออาจไปจดทะเบียนกับเจ้าพนักงานที่ดินในท้องที่ที่ยกเลิกอำนาจของนายอำเภอแล้วก็ได้๓. ถ้าจดทะเบียนเกี่ยวกับบ้านช่องเรือนโรงอย่างเดียวไม่รวมที่ดิน ด้วย
การจดทะเบียนเช่าอาคารบ้านเรือน หรือซื้อขาย หรือจำนอง อาคารบ้านเรือนอย่างเดียว คือไม่รวมที่ดินด้วย แม้อาคารบ้านเรือนเหล่านั้น จะตั้งอยู่ในที่ดินที่มีโฉนดก็ตาม ต้องไปจดทะเบียนต่อนายอำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่หรือจดทะเบียนกับเจ้าพนักงานที่ดินในท้องที่ที่ยกเลิกอำนาจนายอำเภอแล้วการไปจดทะเบียนนี้ ไม่ว่าจะเป็นการจดที่สำนักงานที่ดินจังหวัดหรือ ที่ว่าการอำเภอ ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องนำโฉนดที่ดิน หรือ น.ส. ๓ หรือ น.ส. ๓ ก ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ด้วย และเจ้าหน้าที่จะสอบสวนหลักฐานเกี่ยว กับสิทธิและความสามารถของคู่กรณี ตลอดจนความสมบูรณ์ของนิติกรรม หลักฐานย่อมแตกต่างกันไปแล้วแต่กรณี ฉะนั้น เพื่อความสะดวกในการขอ จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม ควรนำหลักฐานเหล่านี้ไปแสดงด้วยคือ
(๑) บัตรประจำตัวประชาชน
(๒) สำเนาทะเบียนบ้าน
(๓) หลักฐานในการเปลี่ยนชื่อตัว - สกุล (ถ้ามี)
(๔) ถ้าแต่งงานแล้วต้องมีหนังสือคู่สมรสแสดงความยินยอมให้ทำนิติกรรม
(๕) ถ้าผู้ขอจดทะเบียนมีบิดาหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวต้องนำหนังสือสำคัญประจำตัวคนต่างด้าวของบิดาหรือมารดาไปด้วย ถ้าถึงแก่กรรมแล้วให้นำสำเนาทะเบียนบุคคลต่างด้าวที่ขอคัดจากสถานีตำรวจหรือหนังสือ รับรองการตาย หรือการเข้าเมืองโดยชอบจากเจ้าหน้าที่กองทะเบียนคน ต่างด้าวและภาษีอากร ถ้าไม่สามารถนำมาได้ ก็ให้นำใบมรณบัตรของผู้ตาย มาแสดง
(๖) ให้นำสูติบัตรและทะเบียนทหาร (ส.ด. ๙) มาด้วย
(๗)ถ้ามีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติต้องมีใบสำคัญแสดงการแปลงสัญชาติเป็นไทยหรือใบแทนการจดทะเบียนนั้นปกติแล้วการจดทะเบียนที่สำนักงานที่ดินในกรณีที่ไม่ต้องมีการประกาศก่อนจดทะเบียน เช่นซื้อขายหรือให้ที่ดินที่มีโฉนดเจ้าหน้าที่จะจัดการให้เสร็จในวันที่มาขอจดทะเบียนเลย เว้นแต่กรณีที่ต้องมีการประกาศ ก่อนจดทะเบียน เช่น การขอจดทะเบียน การได้มาโดยทางมรดก ซึ่งไม่สามารถจดทะเบียนในวันนั้นได้ถ้าเป็นการจดทะเบียน ณ ที่ว่าการอำเภอปกติแล้วจะต้องมีการประกาศ มีกำหนด ๓๐ วัน เสียก่อนจึงจะทำการจดทะเบียนได้ เช่น ซื้อขายที่ดินที่มี น.ส. ๓ เว้นแต่ จะเข้าข้อยกเว้นบางอย่างซึ่งมีกำหนดไว้ว่าไม่ต้องประกาศ เช่น การจดทะเบียนจำนอง การไถ่ถอนจากการขายฝาก หรือการจดทะเบียน การ
โอนตามคำสั่งศาล

สำหรับที่ดินที่มี น.ส. ๓ ก นั้นมีสิทธิพิเศษคือ ไม่ต้องทำการ ประกาศ ๓๐ วันสามารถจดทะเบียนไปได้เลย ยกเว้นการจดทะเบียนมรดกที่มี
น.ส. ๓ ก ต้องทำการประกาศก่อน

การขายฝาก



การทำนิติกรรมขายฝาก

ความหมาย สัญญาขายฝากเป็นสัญญาซื้อขายซึ่งสิทธิแห่งความเป็นเจ้าของ ในทรัพย์สินตกไปยังผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อตกลงในขณะทำสัญญาว่า ผู้ขายมีสิทธิไถ่ทรัพย์สินนั้นคืนได้ภายในกำหนดเวลาเท่าใด แต่ต้องไม่เกินเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น ขายที่ดินโดยมีข้อตกลงว่า ถ้าผู้ขายต้องการซื้อคืน ผู้ซื้อจะยอมขายคืนเช่นนี้ถือว่าเป็นข้อตกลงให้ไถ่คืนได้ ตัวอย่าง นายแดงนำสวนทุเรียนไปขายกับผู้ใหญ่มา โดยมีข้อตกลง ในขณะทำสัญญาว่า ผู้ใหญ่มา ยินยอมให้นายแดงไถ่ที่ สวนทุเรียนนั้นคืนได้ภายในกำหนด ๑ ปี นับแต่วันที่ซื้อขายที่สวนกัน สัญญาชนิดนี้เรียกว่า สัญญาขายฝาก ข้อตกลงที่ว่า " ผู้ขายอาจไถ่ทรัพย์คืนได้ " ข้อตกลงนี้จะต้องมีขึ้นในขณะที่ทำสัญญาซื้อขายกันเท่านั้น ถ้าทำขึ้นภายหลังจากที่ได้ทำสัญญาซื้อขายกันแล้ว สัญญาดังกล่าวไม่ใช่สัญญาฝากขาย แต่เป็นเพียงคำมั่นว่าจะ ขายคืน เท่านั้น



ทรัพย์สินที่สามารถขายฝากได้ ทรัพย์สินทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นประเภทใดก็ตาม เช่น ที่ดิน ที่สวน ไร่นา บ้าน รถยนต์ เรือ เกวียน โทรทัศน์ ฯลฯ ย่อมสามารถ ขายฝากได้เสมอ

แบบของสัญญาขายฝาก

( ๑ ) ถ้าเป็นการขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ( คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ ) เช่น ที่ดิน ที่นา บ้าน ฯลฯ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่ เป็นที่ดินต้องจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ถ้าเป็นบ้านก็ จดทะเบียนต่อ ที่ว่าการอำเภอที่บ้านนั้นตั้งอยู่ ถ้าไม่ทำตามนี้แล้ว ถือว่าสัญญาขายฝากนี้เสียเปล่า เป็นอันใช่ไม่ได้ เท่ากับว่า ไม่ได้ทำสัญญากันเลย

ตัวอย่าง นายทุเรียนต้องการขายฝากที่ดิน ๑ แปลง แก่นายส้มโอ ก็ต้องทำสัญญา ขายฝากที่ดินและจดทะเบียนการขายฝากที่ดินนี้ ต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ถือว่าสัญญาขายฝาก รายนี้เสียเปล่าใช้ไม่ได้มาตั้งแต่แรก


( ๒ ) ถ้าเป็นการขายฝากสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ ( คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้ ซึ่งกฎหมายกำหนดไว้ เป็นพิเศษว่าจะต้องทำเป็นหนังสือและ จดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ ) เช่น แพ เรือยนต์ สัตว์พาหนะ ฯลฯ ต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยเรือจะต้องจดทะเบียนที่ กรมเจ้าท่าสัตว์พาหนะและแพจะต้อง จดทะเบียนที่อำเภอ ถ้าไม่ทำตามนี้แล้วถือว่าสัญญาขายฝากจะเสียเปล่า ใช้บังคับไม่ได้เลย


( ๓ ) ถ้าเป็นการขายฝากสังหาริมทรัพย์ชนิดธรรมดา ( คือ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้แต่กฎหมายไม่ได้กำหนดไว้ว่า ต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ) ที่มีราคาตั้งแต่ ๕๐๐ บาทขึ้นไป เช่น รถยนต์ ตู้เย็น แหวน สร้อย นาฬิกา โทรทัศน์ ฯลฯ การขายฝากชนิดนี้ ต้องมีหลักฐาน เป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบเป็นสำคัญ หรือต้องมีการวางมัดจำหรือจำต้องมีการชำระหนี้บางส่วน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าไม่ทำตามนี้แล้วกฎหมายถือว่า สัญญาขายฝากรายนี้ต้องห้ามมิให้มีการฟ้องร้องบังคับคดี

ข้อตกลงไม่ให้ผู้ซื้อฝากจำหน่ายทรัพย์สินที่ขายฝาก ในการตกลงฝากคู่สัญญาจะตกลงกันไม่ให้ผู้ซื้อฝาก จำหน่ายทรัพย์สิน ที่ขายฝากก็ได้ แต่ถ้าผู้ซื้อฝากฝ่าฝืน ข้อตกลงที่กำหนดในสัญญาโดยนำทรัพย์สินที่ขายฝากไป จำหน่ายให้ผู้อื่น ผู้ซื้อฝากจะต้องรับผิดชดใช้ ความเสียหายใด ๆ ที่เกิดขึ้นแก่ผู้ขายฝาก

กำหนดเวลาในการไถ่ทรัพย์สินคืน

( ๑ ) ถ้าเป็นการขายฝากอสังหาริมทรัพย์ ต้องกำหนดเวลา ในการใช้สิทธิไถ่คืน ไม่เกิน ๑๐ ปีนับแต่วันที่มีการซื้อขายฝากกัน แต่ถ้าไม่ได้กำหนดเวลาในการไถ่เอาไว้ หรือกำหนดเวลาไว้เกินกว่า ๑๐ ปี กฎหมายให้ลดเวลาลงเหลือแค่ ๑๐ ปีเท่านั้น

( ๒ ) ถ้าเป็นสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษและชนิดธรรมดา ต้องกำหนดเวลาไถ่คืนไม่เกิน ๓ ปีนับแต่วันที่มีการซื้อขายกัน แต่ถ้าไม่ได้ กำหนดเวลาในการไถ่คืนเอาไว้ หรือกำหนดเวลาไว้เกินกว่า ๓ ปี ให้ลดเวลาลงเหลือ ๓ ปี เท่านั้น กฎหมายกำหนดไว้ว่า กำหนดเวลาไถ่นั้น อาจทำสัญญาขยายเวลาไถ่ถอนได้ กำหนดเวลาไถ่ถอนทรัพย์สินที่ขายฝากนั้น เดิมกฎหมายไม่อนุญาตให้ขยายเวลา แต่กฎหมายในปัจจุบัน ( ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๔๑ ) อนุญาตให้ขยายเวลาได้ โดยต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของผู้รับไถ่ ส่วนทรัพย์สินที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เช่น ที่ดิน บ้าน เป็นต้น การขยายเวลาไถ่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ดีระยะเวลาที่ขยายไปจะต้องไม่เกินเวลา ที่อาจไถ่ทรัพย์ได้ ตาม ( ๑ ) หรือ ( ๒ )

สินไถ่ ตามกฎหมายเดิม สินไถ่จะกำหนดไว้เท่าไรก็ได้ตามแต่จะตกลงกัน ซึ่งทำให้การกำหนดสินไถ่เป็นช่องทางให้ผู้ซื้อฝากคิดประโยชน์ ตอบแทนได้สูงกว่าการให้กู้โดยปกติ ซึ่งกฎหมายควบคุมการเรียกอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี แต่กฎหมายในปัจจุบัน ( พ.ศ. ๒๕๔๒ ) สินไถ่ถ้าไม่กำหนดกันไว้จะไถ่ได้ตามราคาขายฝาก แต่ถ้าสินไถ่นั้น กำหนดกันไว้ กฎหมายจำกัดการกำหนดสินไถ่ว่าจะต้องไม่เกิน ราคาขายฝากรวมกับประโยชน์ตอบแทนร้อยละ ๑๕ ต่อปี เช่น ทรัพย์ที่ขายฝากไว้ราคา ๑๐,๐๐๐ บาท กำหนดเวลาไถ่ ๑ ปี สินไถ่ที่จะตกลงกันต้องไม่เกิน ๑๑,๕๐๐ บาท ถ้าตกลงเกินกว่านั้น ผู้ขายฝากสามารถขอไถ่ได้ในราคา ๑๑,๕๐๐๐ บาท ในกรณีที่ครบกำหนดเวลาไถ่ทรัพย์ถ้าผู้ซื้อฝากไม่ยอมรับไถ่ ผู้ขายฝาก มีสิทธิวางเงินสินไถ่ต่อสำนักงานวางทรัพย์ได้ และมีผลให้ทรัพย์ที่ขายฝากตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ขอไถ่ทันที

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

บทที่ 14 คำศัพท์

คำศัพท์

1.Strategy Development   =   การพัฒนากลยุทธ์

2.Resource Management   =   การจัดการทรัพยากร

3.Data Resources   =   ทรัพยากรข้อมูล

4.Economically   =   ด้านเศรษฐกิจ

5.Efficiently   =   ด้านประสิทธิผล

6.Effectively   =   ด้านประสิทธิภาพ

7.System Development Strategies  =  กลยุทธ์การพัฒนาระบบ

8.Global Systems Development  =  การพัฒนาระบบไร้พรมแดน

9.Social    =    สังคม

10.Management Global IT   =   การจัดการไอทีไร้พรมแดน